Orange Love...เผลอรักหมดใจนายหัวส้ม[6]
ตอนที่ 6 : Sweet like chocolate
โอฮาโยะ. . .โอ ฮา โยะ. . .โอ ฮาโย้!!!
เสียงนาฬิกาปลุกรูปชินจังปลุกให้ฉันตื่นขึ้นในยามเช้าของวันอาทิตย์ที่แสนสดใส ฉันเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดเสียงแล้วสปริงตัวยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางคว้าผ้าเช็ดตัวก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไปอย่างอารมณ์ดี
ในวันนี้แซลม่อนกับฉันมีเดทกันค่ะ ตั้งแต่ปิดเทอมมาก็ไม่ได้เจอกันเลย ได้แต่โทรคุยกันทุกคืนเท่านั้น เราจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะไปเดทกันครั้งแรกในฐานะแฟน และเขาบอกเอาไว้ว่าจะมารับฉันที่บ้านตอน 9 โมงเช้า แต่ตอนนี้เพิ่งจะ 7 โมงครึ่งเองฉันจึงค่อยๆ ทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รีบเร่ง
ฉันออกมาจากห้องน้ำพันกายเอาไว้ด้วยผ้าขนหนูแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า จะใส่อะไรไปดีนะ ฉันหยิบชุดวันพีซแขนกุดสีฟ้าอ่อนขึ้นมาทาบกับตัวพลางมองตัวเองในกระจก ไม่ไหวๆ ดูเด็กๆ เกินไป จึงวางลงไว้ที่เตียงแล้วหยิบเสื้อสายเดี่ยวสีชมพูสดกับกระโปรงพลีทสั้นสีขาวมาลองทาบดู ก็สวยอยู่หรอก แต่ดูเซ็กซี่เกินไปนิดนึง จึงหยิบชุดอื่นๆ ออกมาลองทาบดูจนแทบจะหมดตู้เสื้อผ้าก็ยังหาชุดที่ถูกใจไม่ได้
พลันก็ได้ยินเสียงออดที่หน้าประตู ฉันแง้มม่านหน้าต่างออกเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าไปดู ก็เห็นว่าเขามายืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านซะแล้ว พลางเหลือบไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงกำแพงแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นเวลา 9 โมงพอดี
โอย. . .ตายล่ะ นี่ฉันใช้เวลาหมดไปกับการเลือกเสื้อผ้านานขนาดนี้เชียวหรือ เพราะไม่อยากให้เขาต้องรอนานจึงคว้าเอาเสื้อแขนตุ๊กตาสีขาวกับกระโปรงยีนส์ที่กองรวมอยู่กับบรรดาเสื้อผ้าที่ฉันหยิบออกมาวางเอาไว้บนเตียง แปรงผมที่ปล่อยยาวสยายถึงกลางหลังอย่างลวกๆ ก่อนจะก้มลงสวมถุงเท้าแล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง ส่วนกองเสื้อผ้าพวกนั้นไว้ค่อยกลับมาจัดละกัน ทำไงได้สายแล้วนี่นา ฉันกระวีกระวาดลงบันไดไปอย่างเร็วจนคุณแม่ตกใจแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ
จะรีบไปไหนลูก เดี๋ยวก็ได้หน้าคะมำลงมาจากบันไดหรอก
พอดีวันนี้หนูมีนัดกับเพื่อนน่ะค่ะ สายแล้วด้วยหนูไปก่อนนะคะ ฉันตอบพลางก้มลงใส่รองเท้าผ้าใบอย่างเร่งรีบแล้วจึงเปิดประตูบ้านออกไป เสียงคุณแม่ดังแว่วมาจากข้างหลัง
อย่ากลับดึกมากนะลูก ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะจ๊ะ
ฉันเปิดประตูออกไปก็เห็นว่าเขากำลังยืนพิงกำแพงอยู่อย่างอารมณ์ดี ฉันคิดไปเองหรือเปล่านะที่เห็นว่าวันนี้เขาดูดีเป็นพิเศษในชุดเสื้อยืดคอโปโลสีครีม กับกางเกงยีนส์สีตะกั่ว บนใบหน้ามีแว่นกันแดดเคลือบปรอทสวมเอาไว้ แต่ทรงผมก็ยังคงเป็นสีส้มชี้โด่ชี้เด่เหมือนเช่นเคย
รอนานรึเปล่าคะม่อน ฉันเอ่ยขึ้นพาให้เขาหันหน้ามาหาฉัน เขาถอดแว่นออกแล้วมองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า อมยิ้มนิดๆ
มีอะไรเหรอ หรือว่าแอมแต่งตัวประหลาดเกินไป เดี๋ยวเข้าไปเปลี่ยนก็ได้นะ ฉันพูดแล้วทำท่าจะหันหลังกลับเข้าบ้านแต่เขาคว้าข้อมือฉันเอาไว้ก่อน
เปล่าหรอก คือไม่เคยเห็นแอมแต่งตัวอย่างนี้มาก่อนก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือม่อนหมายถึงว่าแอมดูน่ารักดีน่ะ เขาพูดแล้วทำท่าทางเขินๆ พาให้ฉันเขินไปด้วย
วันนี้ม่อนก็. . .ดูหล่อเป็นพิเศษเหมือนกัน เราสองคนมัวแต่เขินกันไป เขินกันมาได้สักพัก ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันแล้วจึงพากันเดินไปขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังสยามสแควร์ สถานที่เที่ยวสำหรับวัยรุ่นอย่างพวกเรา
.
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักเราก็มาถึงที่หมาย หลังจากจัดแจงซื้อตั๋วภาพยนตร์เสร็จ เราก็ตัดสินใจว่าจะไปหาอะไรทานกันก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาที่หนังจะฉาย
แล้วเราจะไปกินที่ไหนกันดีล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน แอมตามใจม่อนให้ม่อนเป็นคนเลือกดีกว่า
ฉันเอ่ยถามเขาอย่างขอความเห็น ก็ไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหนดี ปกติเวลามาเที่ยวกับผิง ถ้าไม่เข้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ประเภท แมคโดนัลด์ เคเอฟซี ก็พิซซ่า อะไรทำนองนั้น ฉันจึงให้เขาเลือกอย่างที่เขาอยากทานดีกว่า
ถ้างั้นไปกินฟูจิกันมั้ย แอมกินอาหารญี่ปุ่นได้รึเปล่าล่ะ เขาเสนอความคิด
ก็กินได้อยู่หรอกแต่ว่าฟูจิมันแพงนะ เคยมากินกับที่บ้านน่ะ เปลี่ยนร้านดีกว่ามั้ง
ฉันพูดไปตามความจริง ก็เรายังเป็นแค่เด็กม.ปลายอยู่เลย แถมยังต้องใช้เงินของพ่อแม่อยู่ด้วย กินอะไรแพงๆ อย่างนั้นแล้วรู้สึกเกรงใจพ่อแม่จัง
ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวม่อนเลี้ยงเองนะ
นะ แอมบอกนี่ว่าจะตามใจม่อน ห้ามผิดคำพูดนะ ไม่งั้นม่อนโกรธจริงๆ ด้วย
เขาอาสาเป็นคนจ่ายค่าอาหารเอง แถมขู่เอาไว้อีกด้วย พลางทำหน้างอนๆ เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมตกลงเสียทีและทำท่าว่าจะลงไปนั่งงอแงอยู่กับพื้นเหมือนเด็กๆ ฉันจึงจำใจต้องยอมตกลงตามที่เขาต้องการ เฮ้อ. . .ตกลงนี่ฉันเป็นแฟนหรือเป็นแม่ของเขากันแน่นะ
โชคดีที่วันนี้มีคนไม่เยอะเท่าไหร่นักจึงไม่ต้องรอคิวนาน เราเลือกนั่งตรงที่ติดกับกระจกมองเห็นภายนอกร้านที่มีคนเดินกันขวักไขว่ไปมา พนักงานยื่นเมนูอาหารมาให้ฉันกับเขาคนละเล่ม ฉันเปิดพลิกดูไปมามันก็น่ากินทั้งนั้นเลยล่ะ แต่ว่าราคานี่สิเห็นแล้วแทบไม่อยากจะกินเลยจริงๆ ถึงเขาบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงเอง แต่ยังไงก็เกรงใจเขาอยู่ดี ให้เขาสั่งเอาเองคงจะดีกว่า ฉันปิดเมนูแล้วพูดกับเขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
แอมไม่ค่อยได้มาทานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าอะไรอร่อยบ้าง ให้ม่อนสั่งละกันนะ เขาพยักหน้ารับแล้วสั่งอาหารสองสามอย่างกับพนักงานเสิร์ฟ
ระหว่างนั่งรออาหารที่สั่ง เขาก็ชวนฉันคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งพนักงานยกถาดอาหารมาเสิร์ฟ จึงได้เห็นว่าแต่ละอย่างมีปลาแซลม่อนเป็นส่วนประกอบทั้งนั้นเลย
กินพวกเดียวกันได้ด้วยเหรอม่อน ฉันถามแล้วยิ้มให้เขาพลางมองปลาแซลม่อนในจานสลับกับผมสีส้มของเขาสีเหมือนกันจริงๆ เลย
นี่ล่ะของโปรดของม่อนเลยรู้เปล่า เพราะอย่างเนี้ยแหละพวกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเก่าถึงได้เรียกม่อนว่าแซลม่อนไงล่ะ เขาตอบพลางใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ลงในจานของฉันด้วยความชำนาญ ฉันทำหน้างงๆ กับคำพูดของเขา
อ้าว. . .แล้วจริงๆ ม่อนไม่ได้ชื่อแซลม่อนเหรอ ฉันถามแล้วจึงคีบอาหารใส่ปาก เขาอมยิ้มนิดๆ พลางส่ายหน้าแล้วจึงเอ่ยขึ้น
เปล่าหรอกชื่อจริงๆ ของม่อนฟังแล้วมันดูหญิงเกินไป ไม่เข้ากับบุคลิก แล้วพวกเพื่อนๆ เค้าก็เห็นว่าม่อนชอบกินปลาแซลม่อนมากด้วยก็เลยเรียกชื่อนี้แทนชื่อจริงๆ ของม่อนน่ะ
เขาเล่าถึงที่มาที่ไปของชื่อที่แสนจะแปลกเกินกว่าที่ใครจะเอามาตั้งเป็นชื่อลูกสาวได้ ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ยังอยากรู้ว่าชื่อจริงๆ ของเขาชื่ออะไรกันแน่
แล้วจริงๆ ม่อนชื่ออะไรล่ะ บอกแอมได้รึเปล่าหรือว่าอายก็ไม่ต้องบอกก็ได้นะ เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงคล้ายจะถามว่าอยากให้เขาบอกจริงๆ หรือ ฉันพยักหน้าพร้อมกับทำตากระพริบๆ ให้ดูน่าสงสารอย่างลูกหมาข้างถนนที่รอคนเก็บไปเลี้ยง เขาทำหน้าเขินๆ แล้วจึงพูดขึ้น
สัญญานะว่าจะไม่บอกใครแล้วก็จะไม่ล้อด้วย ม่อนบอกแล้วแอมห้ามหัวเราะนะ เขาเว้นช่วงไว้นิดนึงเพื่อรอสัญญาณตอบรับจากฉัน เมื่อฉันตอบตกลงเขาจึงเอ่ยขึ้น
จริงๆ แล้วม่อนชื่อว่า. . .สวย. . .น่ะ อ้าว. . .อย่าหัวเราะสิแอม สัญญากันแล้วนะ
เขาเอ่ยขึ้นแล้วทำหน้าเขินอย่างสุดๆ หน้าแดงไปจนถึงหูเลยล่ะ พลางยกนิ้วขึ้นมาจิ้มหน้าผากฉัน เมื่อเห็นฉันอมยิ้มอย่างกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่ สมควรแล้วล่ะที่เพื่อนๆ เปลี่ยนชื่อให้น่ะ ก็เขาเป็นทอมที่ออกจะรูปหล่อปานนี้ ขืนมีคนเรียกว่าสวยล่ะก็ มันคงดูขัดกับภาพที่เห็นจนอดขำไม่ได้เชียวล่ะ
ฉันต้องสะกดกลั้นอาการขำเอาไว้ด้วยการคีบอาหารใส่ปาก กับแสร้งมองออกไปทางอื่นแทนแต่ยังไม่วายลอบยิ้มมุมปากนิดๆ เพราะถ้าขืนยังมองหน้าเขาต่อ ฉันคงได้หลุดหัวเราะจนสำลักอาหารออกมาแน่ๆ เลย
หลังออกจากร้านอาหารแล้วก็ได้เวลาที่หนังกำลังจะเข้าฉายพอดี เราจึงเดินมาที่บริเวณหน้าโรงหนังซึ่งเต็มไปด้วยคู่รักมากมาย ทั้งแบบคู่ชายหญิงปกติ แบบพวกเราก็มีให้เห็นหลายคู่ แต่ฉันสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงอยู่หลายคนที่มองมาที่คู่ของเราด้วยสายตาแปลกๆ ต้องเป็นเพราะว่าผมสีส้มทรงเม่นของแซลม่อนแน่ๆ เลยที่ทำให้ดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างนั้น
ก่อนที่ร่างของเราสองคนจะพรุนไปด้วยสายตาหลายคู่ ก็พอดีกับที่ได้เวลาหนังเริ่มฉายแล้วผู้คนจึงทยอยกันเดินเข้าไปภายในโรงหนัง แซลม่อนเดินนำฉันไปเช่นเคย แต่เพราะผู้คนจำนวนมากที่พยายามจะเบียดเสียดกันเข้าไปในโรงหนังก่อนจึงทำให้ฉันเกือบจะพลัดหลงกับเขา ก็ไม่เข้าใจเลยนะว่าจะเบียดกันทำไม เพราะยังไงที่นั่งก็ถูกจองเอาไว้หมดแล้ว เขาดึงมือฉันไปจับเอาไว้เพื่อไม่ให้เราถูกแยกจากกันอีก จนกระทั่งเดินเข้าไปถึงที่นั่งนั่นแหละความวุ่นวายเมื่อครู่จึงค่อยสงบลง
เมื่อหนังเริ่มฉายไฟก็ค่อยๆ หรี่แสงลงจนกระทั่งมืดสนิท มีเพียงแสงรำไรที่สะท้อนออกมาจากฉากสีขาวเท่านั้น เรื่องที่เราเลือกมาดู เป็นหนังรักโรแมนติกเหมาะสำหรับคู่รักจึงไม่แปลกที่เมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าหลายคู่เริ่มโน้มศีรษะเอนเข้าหากัน แต่ฉันกับเขายังคงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง มีเพียงมือของฉันที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเท่านั้นที่ถูกกุมเอาไว้ด้วยมือใหญ่ของเขา
ฉันให้ความสนใจกับภาพที่อยู่บนจอจนแทบไม่ได้สนใจเขาเลย แต่แล้วเขาก็สะกิดที่แขนของฉันคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง ฉันจึงเอียงหูไปใกล้กับปากของเขา แต่แทนที่จะได้ยินคำพูดกลับกลายเป็นว่าเขาแอบหอมแก้มของฉันไปทีนึง แล้วทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ฉันหันไปหาเขาแล้วจึงตีมือลงเบาๆ ที่ต้นขาของเขาอย่างเขินๆ หัวใจเต้นตึกตัก แล้วจึงหันกลับไปที่หน้าจอใหม่ สักพักเขาก็สะกิดเรียกอีก คราวนี้ฉันหันหน้าไปหาเขาเพราะกลัวว่าจะถูกหอมแก้มอีก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของฉันเบาๆ แล้วทำหน้าทะเล้นใส่ ฉันได้แต่ทำหน้าเหวอ ตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ยกนิ้วขึ้นมาแตะตรงริมฝีปากที่ถูกเขาสัมผัสเมื่อครู่ คราวนี้หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาภายนอก
นะ. . .นั่นมัน จูบแรกของฉันนะ!!!
ฉันหันกลับไปที่หน้าจออีกครั้ง แต่จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้าซะแล้ว เมื่อหันหน้าไปมองเขา ก็พบว่าเขาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงจะทำบ่อยแล้วล่ะสิท่า แต่นี่มันเป็นครั้งแรกของฉันนะ ฉันตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก ดูหนังไม่รู้เรื่องแล้วสิ เมื่อกี้จะมีคนอื่นเห็นรึเปล่านะ ตาบ้านี่ น่าชกซักเปรี้ยงจริงๆ ให้ตายเถอะ ฉันได้แต่คิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ ไม่กล้าหันไปหาเขาอีกเลย
หนังจบลงแล้วผู้คนเริ่มทยอยเดินออกจากโรงหนัง แต่ฉันยังคงนั่งอยู่กับที่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ เขาแตะที่ไหล่ของฉันเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
หนังจบแล้วนะแอม ไม่ออกเหรอ หรือว่า. . .อยากจะอยู่ในนี้กับม่อนต่ออีกสักพัก
เขายิ้มด้วยแววตากรุ้มกริ่ม แค่เห็นหน้าก็รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ ฉันจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินก้าวฉับๆ ออกจากโรงหนังทันที เขาเดินตามมาต้อยๆ พลางเรียกชื่อฉันที่เดินนำมาก่อนโดยไม่หยุดรอเขาเลย เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนกระทั่งเดินมาทันฉัน พลางคว้าข้อมือฉันเอาไว้เพื่อดึงให้ฉันหยุด
เป็นอะไรแอม โกรธม่อนเหรอ เรื่องเมื่อกี้ใช่มั้ย ม่อนขอโทษนะ แต่ม่อนตั้งใจ เป็นความผิดของแอมเองนะที่น่ารักจนทำให้ม่อนอดใจไม่ไหว เขาพูดเหมือนจะสำนึกผิด แต่นั่นมันโยนความผิดให้ฉันชัดๆ เลยนี่นา ฉันโพล่งออกไปอย่างหงุดหงิด
อ๋อ. . .งั้นเหรอ แสดงว่านี่ถ้าอยู่กันแค่สองต่อสองในห้อง ม่อนคงคิดจะปล้ำแอมเลยสิท่า
ใช่. . .อ่า. . .ล้อเล่นน่า เขาตอบอย่างเต็มปากเต็มคำแล้วจึงแก้คำพูดด้วยมุกนายชัดเจนในบางรักซอย9 เฮ้อ. . .นายคนนี้นี่ ทะลึ่งจริงๆ เลย
โอ๋ๆ อย่าโกรธม่อนเลยนะที่รัก ไปกินไอติมกันนะจะได้หายโมโห ไปนะๆ ๆ เขาพูดแล้วก็จูงฉันเดินไปร้านไอศครีมที่อยู่แถวนั้น
.
.
.
วาฟเฟิลซันเดย์ ที่นึงฮะ . . . แล้วแอมล่ะ เอาอะไรมั้ย เขาหันมาถามฉันที่นั่งอยู่ด้านข้าง ฉันได้แต่ส่ายหน้า ไม่ยอมพูดกับเขาเลยซักคำจริงๆ ฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรเขานักหนาหรอก ก็แค่แกล้งฟอร์มไปอย่างนั้นเอง เมื่อพนักงานรับออเดอร์ไปแล้ว เขาจึงหันมาหาฉัน
แอมเป็นอะไรครับ โกรธม่อนจริงๆ เหรอ ม่อนขอโทษนะ เรามาดีกันเถอะ เวลาแอมยิ้มน่ารักออก ไหนหันมายิ้มให้ม่อนดูหน่อยสิที่รัก ฉันหันไปแยกเขี้ยวให้เขา แล้วหันกลับออกไปทางนอกร้านอีกครั้ง เห็นเงาของเขาในกระจก นั่งทำหน้าซึมหูลู่หางตกเป็นหมาเหงาแล้วอดขำไม่ได้ จึงแกล้งเก๊กเสียงดุๆ แต่ไม่ยอมหันไปสบตากับเขา กลัวเดี๋ยวจะหลุดหัวเราะออกมา
ไม่โกรธก็ได้ แต่ห้ามไปทำอย่างนี้กับคนอื่นนะ เข้าใจมั้ย เขาพยักหน้าหงึกๆ
ถ้างั้นส่งมือมานี่หน่อยสิ เขายื่นมือมาให้ฉันแต่โดยดีคงคิดว่าฉันจะตีมือเขาละมั้ง แต่ฉันกลับจับมือเขาเอาไว้ เขย่าเบาๆ อีกมือก็ลูบหัวเขาไปมา
ดีมากเชื่องๆ อย่างนี้ค่อยน่าเลี้ยงหน่อย ฉันพูดจบเขาก็โวยวายขึ้นมาว่าฉันหาว่าเขาเป็นหมาน้อย ฉันได้แต่หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ เขาดึงตัวฉันเข้าไปใกล้ๆ แล้วกอดเอาไว้ในวงแขน พลางกระซิบเบาๆ ข้างหูของฉัน
ไม่ให้ทำกับคนอื่น แต่ทำกับแอมได้ใช่มะ เขาพูดแล้วก็ต้องร้องโอ๊ยขึ้นมา เมื่อฉันหยิกเข้าที่ต้นขาของเขาอย่างหมั่นไส้ เจ้าเล่ห์ดีนักนะนายตัวร้าย
เริ่มเย็นแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน เราเลือกที่จะขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อประหยัดเวลาเนื่องจากเย็นมากแล้ว ถ้าต้องฝ่ารถติดไปอีกก็ไม่รู้ว่าจะถึงบ้านเมื่อไหร่ ช่วงเย็นอย่างนี้คงเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เดินทางกลับบ้านเช่นเดียวกัน เพราะจำนวนผู้คนที่อยู่บนชานชาลานั้นไม่น้อยเลย
เมื่อรถแล่นเข้ามาจอด ผู้คนมากมายก็กรูกันเข้าไปในตัวรถแออัดจนแทบจะเป็นปลากระป๋อง ฉันยืนอยู่ตรงมุมประตูโดยมีเขายืนคอยกันคนอื่นไม่ให้เข้ามาเบียดฉันได้ส่วนตัวเขาเองโดนเบียดทั้งซ้ายและขวาจนเหลือตัวลีบเล็กนิดเดียว
ผ่านไปได้สองสามสถานี ผู้คนค่อยบางตาลงไปบ้าง และมีที่ว่างเหลืออยู่สองที่พอดี เขาจึงจูงฉันไปนั่งตรงที่ว่างนั้น ผ่านไปอีกสถานีมีคุณป้าคนหนึ่งถือของพะรุงพะรังขึ้นมา แต่ไม่มีใครลุกให้นั่งเลย ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นก็มีผู้ชายนั่งกันอยู่เต็มไปหมด ความเป็นสุภาพบุรุษมันหายไปไหนกันหมดนะ
คุณน้านั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ
เสียงของแซลม่อนนั่นเอง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเรียกให้คุณป้าคนนั้นนั่งลงแทนที่เขา ส่วนตัวเขาเองก็ยืนเกาะอยู่กับห่วงสีแดงด้านบน คุณป้ากล่าวขอบคุณด้วยเสียงอันดังแต่มิวายแขวะบรรดาผู้ชายที่นั่งอยู่แถวนั้น จนร้อนๆ หนาวๆ ไปตามๆ กัน
ขอบใจมากนะจ๊ะหนู เป็นผู้หญิงแท้ๆ มีน้ำใจกับคนแก่ ไม่เหมือนพวกผู้ชายบางคนไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย ฉันได้แต่ยิ้มให้เขาพลางมองหน้าพวกผู้ชายเหล่านั้นด้วยความสะใจ
.
.
.
ไม่นานนักก็ถึงสถานีปลายทาง เราเดินลงจากชานชาลาแล้วเข้าไปในซอยทางเข้าหมู่บ้านของฉัน เราเดินจูงมือกันจนมาถึงหน้าบ้าน เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ไม่ทันไรก็ต้องแยกจากกันแล้ว
วันนี้แอมสนุกมากเลย ขอบคุณมากนะคะม่อน ฉันกล่าวกับเขาอย่างจริงใจ
วันนี้ม่อนก็สนุกเหมือนกัน เราคงไม่ได้เจอกันอีกนานเลยกว่าจะเปิดเทอม ม่อนคงคิดถึงแอมแย่เลยล่ะ เขาหยอดคำหวานกับฉัน เล่นเอาฉันเขินไปเหมือนกัน
ม่อนกลับบ้านดีๆ นะ ถึงบ้านแล้วโทรมาหาแอมด้วยล่ะ แอมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณที่มาส่งนะ
เขาก้มหน้านิดๆ รับคำขอบคุณของฉันแล้วจึงหันหลังเดินจากไป พลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ฉันยืนส่งเขาจนกระทั่งเขาเดินไปลับตาจึงเดินเข้าไปในบ้าน ฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดีเช่นกัน เพิ่งรู้ว่าการมีความรักก็ทำให้มีความสุขอย่างนี้นี่เอง
.
LovePenguin Talks...
วันนี้แวะมาลงตอนต่อให้ เพราะมีคนตามมาทวงถึงที่บูธสำนักพิมพ์เลย หุหุ หลังจากแปลงร่างไปเป็นนักขายอยู่หลายวัน ช่วงนี้ก็กลับสู่สภาวะปกติ มาเป็นนักเขียนเหมือนเดิมแล้วจ้า แล้วก็กำลังรอเรียกตัวจากหลายๆ บริษัทที่ไปสมัครเอาไว้ด้วย (เมื่อไหร่จะเรียกเราไปทำงานซักทีล่ะเนี่ย) ยังไงจะพยายามรีบปั่นตอนต่อๆไปมาให้อ่านกันนะคะ ส่วนจะได้ตีพิมพ์อีกรึเปล่าอันนี้ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะกำลังมีปัญหากับทางบ้านอยู่ (รู้สึกเครียดมากๆ จะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย อึดอัดๆ อยากหนีออกจากบ้านจัง จะมีใครสงสารอยากรับนนักเขียนตัวน้อยๆ คนนี้ไปเลี้ยงสักคนไหมน้อ)
เอ...แล้วที่บ่นมามันเกี่ยวอะไรกับนิยายล่ะเนี่ย เหอเหอ ไม่เอาดีกว่า จะบ่นให้คุณผู้ฟังเบื่อไปทำไมกันเนอะ กลับมาร่าเริงสดใสเหมือนเดิมดีกว่า โย่ๆๆ เอาเป็นว่าขอตัดบทจบดื้อๆ แล้วรีบชิ่งไปเลยดีกว่า หุหุ เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ บับบายค่า
ปล. ขอบคุณทุกๆ คน ที่แวะไปเยี่ยมเยียน + อุดหนุน ที่บูธงานหนังสือด้วยนะคะ
ปล.2 ขอบคุณที่ติดตามผลงานเรื่องนี้ด้วยค่ะ อ่านจบแล้วอย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
By : ump   Date : 28 Oct 2007 20:28
|