เปลี่ยนศานา และ เลิกกับแฟน เพราะหมอดูแนะนำ (ฟังดูงมงาย) ใครเคยเป็นบ้างคะ
เราอยากทราบความคิดเห็นจากเพื่อน ๆ ว่ามีเหตุผลอะไรที่เปลี่ยนศาสนา อยากรูว่าเพื่อน ๆ มีจุดหักเหอะไรในชีวิตที่ทำให้เปลี่ยนความเชื่อในศาสนาต่าง ๆ
ส่วนเรากำลังมีปัญหาคือเราเป็นคริสเตียน แต่มีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องเปลี่ยนศาสนาไปเป็นพุทธ ทั้ง ๆ ที่เรามีความเชื่อ และ ศรัทธาในพระเจ้าของเรา แต่หากเราไม่เปลี่ยน สิ่งเหนือธรรมชาติบางอย่างกำลังบีบให้เราต้องเปลี่ยน ถ้าเราไม่เปลี่ยนเป็นพุทธ เราจะแก้ไขเรื่องบางอย่างไม่ได้เลย เราไม่ได้หัวอ่อนเชื่ออะไร หรือ ตัดสินใจอะไรง่าย ๆ เพียงเพราะ ใครต่อใครบอกอะไรหรอกนะคะ แต่ บางอย่างที่ทำให้เหตุผลมีน้ำหนัก ทำให้เราเชื่อน่ะค่ะ
แต่ที่เราหนักใจ ไม่ใช่เพราะเราคิดว่าพุทธไม่ดี หรืออะไรหรอกค่ะ เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนดี และท่านก็สอนให้เชื่อในเรื่องการทำดี เช่นกัน เราเชื่อเรืองกรรม เพราะทางคริสก็สอนว่าทำดี ได้ดี เช่นกัน เราไม่ได้รังเกียจศาสนาพุทธ แต่เราก็ศัทธาในพระเจ้าของเรามาก เพราะมีสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชิวิตของเราก็หลายอย่าง ซึ่งชาวพุทธก็อาจจะเรียกว่า ความบังเอิญ หรือเรียกว่ามีบุญเก่า อะไรอย่างงี้
เราขอเล่าเรื่องของเราเพื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อน ๆ ฟังบ้างซักเล็กน้อยนะคะ
เราเป็นคริสเตียน ตั้งแต่เกิด เพราะคุณย่าเราเป็นคริสเตียน และ ท่านก็พาเราเข้าพิธีถวายตัวให้พระเจ้า ตั้งแต่เป็นทารก พอถึงวัยรุ่น ท่านก็ให้เราถือศีลจุ่ม (จุ่มน้ำเพื่อล้างตัวให้เป็นผู้สะอาด และ มีชีวิตใหม่ในพระเจ้า) เราเชื่อในพระเจ้า เพราะเราสัมผัสได้ เรารู้มาตลอดว่าพระเจ้ามีจริง (คงมีคนอยากรู้ใช่ไหมคะว่า รู้ได้อย่างไร พิสูจน์สิ เราตอบได้เลยว่า เราไม่เคยเห็นหรอก แต่เรารู้สึกได้ พระเจ้าของเรา เปรียบเหมือนสายลม ที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่ามีจริง )
นอกจากความรู้สึกที่เรารู้ว่าพระเจ้ามีจริง รู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่เราต้องเจอกับปัญหาจนถึงทางตันแล้ว เรียกว่าจนมุมจนสุดมุม จะมีปฏิหารเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันเสมอ
และเราเชื่อว่าพระเจ้าประทานพรสวรรค์บางอย่างให้เรา อาทิ บางครั้งเราก็ฝันเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า (เพียงแต่ว่าเรามันจะฝันล่วงหน้านานเกินไปกว่ามันจะเกิดขึ้นจริง คือมันจะล่วงหน้านานเป็น ปีปี จนเราจำลายละเอียดในความฝันแทบไม่ได้แล้วนั่นแหล่ะ ) และเราก็มีพรสวรรค์ในเรื่องดารคาดเดาเหตุการณ์ได้แม่นยำมาก ยกตัวอย่างเล็กน้อย เอาแบบที่ชัดเจน เช่น ตอนเด็ก ๆ เราเคยลองคาดเดาว่ารถเมล์สายอะไรที่กำลังเป็นจะมาเป็นคันต่อไป มันก็ถูกจริง ๆ (บางครตั้งที่รู้ล่วงหน้า แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่รู้หรอกนะคะ มันจะรู้เหมือน แบบว่าอยู่ดีดีก็รู้เองน่ะค่ะ) และโดยมากมักจะมองคนได้ขาด ตั้งแต่แรกเห็นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ได้พูดคุยทำความคุ้นเคยกันมาก่อน คือ เช่นว่าเห็นแล้วรู้ว่าเค้ามีจุดประสงค์อะไร ซึ่งพอรู้จักไปนาน ๆ ผลลัพธ์ก็ออกมาตรงตามแว๊ปแรกที่เข้ามาในความคิดอย่างตรงแป๊ะทุกที แต่ก็อีกเหมือนกันค่ะ คือรู้สึกเป็นบางที บางทีก็ไม่รู้สึกอะไรเลยก็มีค่ะ
นอกจากนี้ เราเป็นคนที่มองไม่เคยเห็นผี เพราะเราเป็นคนขี้กลัวผีมาก เราอธิฐานขอพระเจ้าเสมอว่าขออย่าให้เราเห็น ภูตผีปิศาจอะไรเหล่านี้ ซึ่งพระเจ้าก็ให้ มาตลอดคือ เรามองไม่เห็นก็จริง แต่เรื่องได้ยิน กับ รู้สึกว่ามีก็ยังมีบ้าง ตัวอย่างเช่น เมื่อตอนเข้าค่ายที่โรงเรียนตอนเด็ก ๆ ต้องค้างที่โรงเรียน กลางดึก คืนหนึ่ง เราเพื่อนวิ่งออกไปดูที่ระเบียงชั้น 4 มุงดูภาพผีที่กระโดดตึก ก็สิ่งหนีกระจาย มีแต่เรามองไม่เห็นก็ถามไหน ๆ ก็มองไม่เห็น
ตอนโตทำงานเป็น Sales โรงแรมไปพักที่โรงแรมที่พัทยาก็มีพี่ ๆ ผู้หญิงมานอนด้วยในห้องเดียวกัน รวมเราหลายคน เพราะกลัวผี (คืนแรกเค้าเจอผีกัน เค้าเลยมานอนรวมห้องกะเรา เพราะเค้าถามเราว่าเจอผีเมื่อคืนไหม เราก็บอกไม่เจอ ) ปรากฏว่าพอตอนเช้าเราตื่นมาก็มีเรานอนอยู่คนเดียว เพราะพี่ ๆ เค้าไปนอนที่พื้นหน้าระเบียงห้องกันหมด ทั้ง ๆก่อนนอนเรานอนเตียงเดียวกัน 4 คน เค่าบอกว่าเมื่อคืนผีกวนทั้งคืนเลยเค้าเลยหนีไปนอนที่ระเบียงกันหมด มีแต่เรานอนหลับสนิทอยู่คนเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โรงแรมทีภูเก็ตที่หาดลายัน ประมาณหัวค่ำ เพื่อนพนักงานประมาณ สิบกว่าคนก็ชี้ให้เราดูผีพม่าบนต้นมะพร้าวหลาย ๆ ต้นรอบ ๆ บริเวณนั้น เค้าบอกว่าดูสิ ผีทหารโบราณเยอะมาก ๆ นั่ง พลุ่บ ๆ โผล่ตามยอดมะพร้าว ซึ่งเพื่อน ๆ น้องๆ ดูกลัวเล็กน้อย คงไม่กลัวมากเพราะที่บนพื้นข้างล่างยังสว่าง และ อยู่กันหลายคนรวม ๆ กัน (ตรงนั้นเป็นหาดที่พระเจ้าตากสินรบกะพม่า แล้วพระเจ้าตากสินยกพลขึ้นบก ตรงนั้นเรียกว่า สงครามเก้าทัพอะไรซักอย่าง เร้าว่าตามที่อ่านป้ายที่ปักอยู่ตรงแถวนั้นนะคะ) แต่เราก็พยามมองดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร เห็นแต่ความมืดนั่นแหล่ะ
และตอนอยู่บ้านบางทีน้องเราทั้งสองคนเคยเห็นมีผีผู้ชายร่างใหญ่เดินตามเรา เจ้าห้องนอน แต่เราก็ไม่เห็น แต่มารู้ตอนที่เราได้ยินเสียงคนอีกคน พูดล้อเลียนแบบเราในห้อง ทั้ง ๆ ที่ในห้องนอนของเรานั้นก็มีเราคนเดียว เราเลยรีบออกไปเล่าให้น้องฟัง มันบอกเห็นทั้งคู่ แต่ไม่มีใครกล้าบอกเรากลัวเรากลัว (น้องเราคนที่สองมีคความสามารถในการมองเห็นผีตั้งแต่จำความได้น่ะค่ะ ซึ่งคุณแม่เล่าให้เราฟังว่าไม่แปลก เพราะคุณยายก็มีความสามารถในการมองเห็นผีแบบนี้เหมือนกัน)
ที่สำคัญคือคุณย่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราเชื่อ และสอนให้เราทำดี ทั้ง ๆ ที่เป็นคนดี มันลำบาก เพราะทำดี แล้วไม่ได้ดีเหมือนคนทำชั่วมันน่าน้อยใจ แต่ก็ทำเพราะได้กำลังใจ และตัวอย่างดีดี จากคุณย่า คุณย่าของเราท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก คือพ่อแม่ก็เลี้ยง แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้เราน่ะ เลี้ยงแบบนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่อยู่บ้าน คุณย่าเลยเอาเราไปเลี้ยงเองซะเลย จะได้ไม่เป็นเด็กขาดความอบอุ่นและความรักน่ะค่ะ ซึ่งเราก็ได้รับความรักมากมาย คุณย่าถ่ายทอดความเชื่อ ความรัก ความซื่อสัตย์ในพระเจ้า แลบะ ต่อเพื่อนมนุษย์ คุณย่ามักสอนว่า คนที่ทำไม่ดีต่อเรา เพื่อทดสอบการเอาชนะใจตัวเองว่าจะเอาชนะความชั่วด้วยความดี หรือจะยอมพ่ายแพ้ต่อความชั่วด้วยการทำชั่วตามคนอื่น ๆ ซึ่งบทดสอบที่เข้ามาในชีวิต เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ความโอ้อวด การโกหก ความแค้น ความเจ็บปวด ความไม่ยุติธรรม และ การยั่วยวนต่าง ๆ นานามากมาย ซึ่ง ดีที่เรารู้เท่าทันมัน แต่ก็มีไม่น้อยที่ทำเราท้อ ความน้อยใจ ความเสียใจ และ ที่สุดคือความโกรธที่มักเอาชนะเราได้บ่อยที่สุด แต่เมื่อโกรธมันห้ามไม่ได้ แต่คุณย่าก็มักจะดึงสติเราให้รู้คิด และ กลับเข้าสู่ทางของพระเจ้าได้เสมอ ด้วยความอ่อนโยน และ ความรักมากมายของคุณย่า คุณย่าต่อสู้เพื่อองค์กรณ์ต่าง ๆ ที่มีพระเจ้าอยุ่ด้วยเสมอ เช่น องค์การพระคริสธรรม โบสถ์ องค์การ ICA และองค์การของ United Nationซี่งช่วยเลือผู้ลี้ภัยตามชายแดน และ วัฒนาวิทยาลัย เป็นต้น
คุณย่าเล่าให้ฟังว่าความเชื่อ โดยไม่มีข้อแม้ เชื่อโยไม่มีข้อสงสัย เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงทำให้คุณย่าหายจากโรคมะเร็ง ทั้ง ๆ ที่คุณย่าเคยรับการผ่าตัดมา 40 ครั้งที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน (สี่สิบครั้ง ไม่ได้พิมพ์ผิดค่ะ) ครั้งที่ 40 แพทย์บอกว่าไม่สามารถผ่าตัดและรักษาได้อีก เพราะไม่มีอะไรจะตัดแล้ว ให้กลับไปใช้ชีวิตที่เหลือ ไม่เกิน 3 เดือน กับครอบครัวที่บ้าน คุณย่าก็กลับบ้าน และเตรียมตัวเตรียมใจกับความตาย คุณย่าบอกว่าดีใจ จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์เสียที แต่ที่สุด พระเจ้าก็ไม่ใช้คุณย่าตาย หลังจากนั้น คุณย่าอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เกือบ50 แล้วค่ะ โดยที่คุณย่าไม่ได้รับการรักษา แต่อวัยวะทุกอย่างที่ถูกตัดทิ่งไป ก็กลับมา (คน ไม่ชี่จิ้งจกจะได้มีอวัยวะงอกใหม่ได้ แต่คุณย่าก็เป็นไปแล้ว) คุณย่าไม่มีมะเร็งอีกต่อไป ทำให้แพทย์ซึ่งบอกคุณย่าว่าต้องตายไม่เกิน 3 เดือนแน่นอนฉงนมาก แต่ก็ต้องเชื่อเพราะอวัยวะทุกอย่างกลับคืนมาได้อย่างอัศจรรย์
มีครั้งหนึ่งที่เราพาแฟนคนปัจุบันไปบ้านที่ กทม.เราไม่ได้บอกใครว่าแฟน แต่คนแรกที่ที่ถามเราทั้ง ๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้คือ คุณย่า (ตอนนี้เราก็เดาว่าสงสัยคูรย่ามีเซ้นท์ในการคาดเดาแน่ ๆ เลย ) ก่อนเรากลับภูเก็ต ท่านถามเราว่าแฟนเหรอ (ทั้ง ๆ ที่แฟนเราเป็นผู้หญิง แถมไม่ได้ซอบผมสั้นอีกด้วย ทำไมไม่คิดว่าเป็นเพื่อนล่ะ งงมาก ) พอคุณย่าถามเราก็บอดตรง ๆ ว่าค่ะ แล้วไหน ๆ แล้ว เราก็เลยบอกแม่ และทุก ๆ คนไปด้วยเลย เพราะคุณแม่ คุณพ่อหัวสมัยใหม่อยู่แล้ว ห่วงแต่คนรุ่นเก่าอย่างคุณย่านี่แหล่ะ แต่ตรงข้าม กลับเป็นคุณย่าที่รู้คนแรก และก็อวยพรเราให้มีความสุขกับคนรักเป็นคนแรกนั่นเอง
และเคยมีหมอดู และ คนธรรมดาบางคนเข้ามาทัก เสมอว่า เห็นมีผู้ชายที่หน้าตาเป็นฝรั่ง กับ เทพแบบแขก ๆ มากับเรา และ อยู่กับเราหลาย ๆ ครั้ง หลายคราวในชีวิต ที่ต่างวาระ ในช่วงต่าง ๆ ของชีวิต
ข้างต้นเป็นบางส่วนเป็นที่มาของความเชื่อในชีวิตที่ทำให้เราไม่เคยสงสัยในความมีอยู่จริงของพระเจ้านั่นเอง
แต่ปัญหาตอนนี้ คือเมื่อวานนี้ เราไปดูดวงกะร่างทรงอิสราม เธอเป็นผู้หญิง เรียกโต๊ะพระแทว (ซึ่งที่จริงทางศาสนาคริสของเราเค้าก็คงไม่ให้ดูหรอก แต่การดูดวงมันมักคู่กับผู้หญิง ซึ่งเราชอบซะด้วยสิ ) โต๊ะที่ว่านี้คือ วิญญาณผู้ชาย น่าจะเป็นเทพ อะไรประมาณนี้ค่ะ
โต๊ะที่ว่านี้มีคนเข้าคิวเพื่อไปให้ดูดวง หรือ ทำพิธีช่วยขับไล่ความเจ็บป่วย เนื่องจากโดนของ น่ะ ปรกติเราก็ไม่เชื่อหมอดูร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกค่ะ คือชอบดู และ ฟัง อะไรที่น่าจะเชื่อไว้เพื่อป้องกันเอาไว้เพื่อความไม่ประมาท หรือ อะไรที่เป็นแนวทางดี ๆ ปฏิวัติได้โดยไม่ผิดต่อหลักคุณธรรมก็จะปฏิบัติก็คิดว่าไม่เสียหาย แต่ถ้าให้จ่ายเงินเยอะ ๆ ก็ไม่เอาแน่นอนค่ะ
โต๊ะคนนี้เราเชื่อ เพราะ ข้อแรก ท่านเปิดสำนัก และ ช่วยคน โยไม่เรียกเงิน ท่านจะมีพานวางข้างหลัง หากใครจะให้ก็ให้ เท่าไหร่ก็ได้ ท่านไม่เคยหันไปดูว่าใครใส่เท่าไหร่ เราไปเพราะก่อนหน้านี้เราแค่หกล้ม และ รพ.จุฬา และ รพ.กระบี่รักษาแล้ว แต่ไม่มีสาเหตุที่จะเจ็บหลังการรักษา คือ รักษาแล้ว หายแล้ว แต่ยังเจ็บอยู่ ต้องใช้ไม้ค้ำยันนานนับปี ทั้งที่ควรจะหายตั้งตา 3 เดือนแรก แฟนเราก็พาไปดูดวงกะแม่ชีที่ภูเก็ต แม่ชีบอกว่าเราโดนของพวกลมเพ ลมพัด ท่านก็ดูดวงแม่นมาก ไม่ผิดเลยที่พูดมา และบอกว่าท่านจะลองทำพิธีไล่ตัวที่อยู่กับเราออกให้ เราไปทำ 3 วันแล้ว พอครั้งที่สามท่านก็บอกว่าท่านไม่มีพลังแล้ว เพราะตัวที่อยู่กับเรามันไม่ยอมออก ให้ไปหาโต๊ะพระแทว เพราะเค้าจะมีพลังมากกว่าท่านดู ปรากฎว่าไปครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน เรารอคิวตั้งแต่ก่อนเที่ยงจนถึง 1 ทุ่มกว่า ๆ จนถึงคิวเราท่านบอกว่ากลับไปเถอะ ไว้วันหลังมาใหม่ เพราะท่านหมดพลังแล้ว ถึงทำไปก็อาจจะไม่มี เราเลยกลับ และวันนั้นเราเป็นอะไรไม่ทราบดันเอามือถือใส่ในถุงขนม แล้วเผลอทิ้งถุงขนมลงถังขยะที่หน้าบ้านโต๊ะพระแทวไป วันรุ่งขึ้นนึกออกจะกลับไปคุ้ย แต่ไม่แน่ใจ ปรากฏว่าเราลองโทรเข้ามันก็ดังแว่ว ๆ แต่เป็นที่บ้าน แฟนก็หาตามเสียงปรากฏว่าอยู่ในถังขยะในบ้าน เรางงมาก เพราะเราบอกแฟนว่าเราเผลอทิ้งไปพร้อมขยะที่หน้าบ้านตะพระแทว ไหงกลับมาอยู่ในถุงขยะหน้าบ้านตัวเอง เราเลยแอบคิดในใจว่า หรือว่าโต๊ะแกแสดงความศักดิ์สิทธิหรือเปล่า หรือว่า เราจำผิดเองกันแน่
หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้ไปหาโต๊ะอีก เพราะแฟนเราโกรธที่ไปแล้วพอถึงคิวแล้วไม่ได้ทำ เสียเวลาทนรอนานค่อนวัน เลยไม่ได้ไปอีก แล้วทางพ่อเราก็แนะนำว่าลองไปเอาน้ำมนต์ที่วัดมาอาบดูสิ เราก็ไปเอาที่วัดฉลอง มาอาบประมาณ 28 วันมั้ง อาการปวดเราก็ดีขึ้นแต่ยังปวดอยู่ แต่ปวดนอนลง ตอนหลัง ๆ ดีขึ้นเกือบหาย แต่เราก็พยามระวังไม่กระทบกระเทือน หรือเดินหนักมา เพราะไม่อยากเป็นอีก ส่วนไม่ค้ำบริจาคไปแล้วค่ะ
ต่อมาเรามีปัญหา (ขอไม่เล่าปัญหาแล้วกันค่ะ) แล้วเราก็นึกถึงโต๊ะพระแทว เพราะจำได้ว่าเคยไม่แล้วเห็นที่ท่านทำให้ประชาชนที่ไปหา เรารู้สึกว่าท่านน่านับถือ ท่านเป็นผู้หญิงที่พูดใต้ หน้าไมแต่ง เกล่าผมมวยต่ำ เรยบร้อย นุ่งขาว ห่มขาว และ สำนักท่านแทบไม่มีของขลังอะไรที่ช่วยทำให้ดูอลังการ เลย เรียกว่าไม่ปรุงแต่งอะไร จะมีก็รูปแกะสลักเป็นเศียรของเทพที่ท่านทรง กับรูปภาพติดฝา หนึ่งอันเท่านั้น แถมตอนท่านทำพิธี ท่านก็ทำ ๆ ๆ อย่าเดียว ไม่มีการโอ้อวดสพพคุณตัวเองเลย ท่านนิ่งมาก แถมไม่แสดงอาการเมื่อย หรือ เบื่อไม่มีแม้แต่เข้าห้องน้ำตลอดเวลบาที่นั่งทรงตั้งที่เราไปก่อนเที่ยงจน หนึ่งทุ่มกว่า ท่านดูสุขุม ไม่พูดมาก คำหยาบสักคำไม่เคยมีออกจากปากเลย คนธรรมดาก็ต้อง เข้าห้องน้ำบ้าง ขนาดนั่งยังเมื่อยเลย
เข้าเรื่องเลยนะคะท่านก็ดู ท่านบอกว่าชิวิตของเราถูกปิดมาตลอด เพราะเราเข้าคริส ทำให้บรรพบุรุธของเราช่วยไม่ได้เลย ไม่ว่าฝั่งทางแม่ หรือ พ่อ แต่ปัญหาของเรา และให้เราบวชชีพารมณ์ซัก 4-9 วันก็ยังดี และให่เราทำบุญกรวดน้ำ ของที่อยู่ในตัวเราก็จะไป และ ถ้าให้เราเลิกกับแฟนคนนี้ เพราะบรรพบุรุธเค้าก็ไม่ชอบเรา เค้าก็ดึงชีวิตเราด้วย เพราะถ้าไม่เลิก ถึงอย่างไร ปลายปีหน้าก็เลิก เพราะแฟนเราเค้าเจ้าชู้มีกิ๊กตลอด และ เราให้ทรัพย์สินท์เค้าตลอด แต่เค้าไม่เคยให้อะไรเราเลย คือเค้าเอาประโยชน์จากเราตลอด และถ้าเราเลิกกับเค้าเราก็จะเจอกับคนที่จริงใจ และอายุน้อยกว่าเราอีกเหมือนคนปัจจุบันนี้แหล่ะ
แต่ปัญหาเราไม่ลำบากใจเรื่องแฟนหรอก เพราะถ้ามันจะเลิก ก็เลิกไป ถ้าเค้าจะไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อเรา เค้าก็ไม่ใช่ของ ๆ เราซักวันเค้าก็ต้องไป
แต่ปัญหาเราคือการเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เรื่องของตัวศาสนาหรอก เพราะเราเชื่อว่าศาสนาไหน ๆ ก็ดีทั้งนั้น แต่ปัญหาของเราคือ เราเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มหัวใจ และเรามีความรู้สึกบางอย่างว่าหากเราหันหลังให้พระเจ้า พระเจ้าอาจจะรับคุณย่าของเราไป คุณย่าเราอายุ 94 ปีแล้ว เพราะเราอธิฐานทุกวันให้คุณย่าของเรามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นมิ่งขวํญและกำลังใจให้เราตลอดเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เพราะคุณย่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวเราให้เป็นคนดีและมีกำลังใจในชีวิตมากที่สุด ถ้าเราไม่มีคุณย่า เราอาจจะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อาจกลายเป็นคนที่ล้มเหลว และและหมดใจที่จะสู้ชีวิตได้ และถ้าเราไม่มีคุณย่า เราไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร (เราอยู่ภูเก็ตกะแฟน คุณย่าอยู่บ้านเราที่กทม. แม้เราไม่ได้ดูแลคุณย่า แต่เราก็รัก และ หวังว่าสักวันเราจะได้มีโอกาสตอบแทนคุณคุณย่าของเราบ้าง และหวังว่าคุณย่าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นให้เรามัโอกาสได้ตอบแทนท่าน )
เราโทรไปปรึกษาคุณแม่เรา ท่านเป็นพุทธ ท่านบอกว่าท่านเคยให้หมอดูดูดวงเรา ท่านบอกว่าหมอดูบอกว่าเราต้องเลือกทางชีวิต ต้องเลือกว่าจะเอาทางศานาไหน ท่านบอกว่าตอนเราตายเราถูกปล่อยไว้ เพราะทางพระคริสก็ไม่มารับ ทางพระพุทธก็ไม่มารับ เหมือนถูกทิ้ง ท่านบอกว่าท่านเคยอยากจะให้เราเปลี่ยนมาเป็นพุทธ แต่ท่านไม่กล้าพูดกับเรา เพราะกลัวเราไม่เชื่อ ส่วนคุณย่า ถ้าท่านจะหมดบุญก็ต้องปล่อยไป แล้วค่อยอุทิศบุญกุศลไปให้ท่านเพื่อตอบแทนบุญคุญ เพราะท่านก็ 94 แล้ว แก่มากแล้ว
เราจึงคิดว่าเราคงจะไปโบสถ์ จะไปอธิฐานบอกพระเจ้าว่าขอบคุณที่ดูแลเรามาตลอด แต่เราขอลาไปอยู่พุทธ เราไม่ได้ทรยศพระองค์ค่ะ แล้ว หลังจากนั้นเราจะหาวัดที่มีบวชชีพรามณ์ที่ภูเก็ตบวชซักระยะ ส่วนเรื่องแฟน เราจะถอยออกมาเป็นเพื่อน แต่ยอมให้เค้าอาศัยในบ้านอยู่กับเราต่อไป เพราะถ้าเราเลิกกะเค้าแล้วให้เค้าออกจากบ้านเค้าก็มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเค้าต้องผ่อนรถส่วนตัวของเค้า แต่เราดูแล้วจะยาก เพราะแฟนเราเค้าไม่ยอมอะไรแน่ ๆ ขนาดเราเล่าให้เค้าฟังตอนออกมาจากตะเมื่อวานมันก็หัวเสียเกรี้ยวกราดทั้งคืน ดังนั้นจะเลิกแบบตัดเลยก็ดูจะลำบาก เราว่าเราจะลดความเป็นคนรักมาเป็นเพื่อน แต่ยังอยู่ด้วยกันเฉย ๆ บ้านเดียวกันต่อ ถ้าเค้าจะไปมีใครเราจะสนับสนุนเค้าค่ะ แต่ถ้าพ้นปีหน้าไปแล้ว เค้ายังรักและยังอยู่กับเรา และ ถ้าเราเองก็ไม่มีใครใหม่และยังรักเค้า เราก็คิดว่าเราคงจะหลุดพ้นจากคำทำนายค่ะ
By : Tam   Date : 11 Sep 2011 19:07
|