Chiiz~*[[FW::]] หากพวกคุณเป็นประชาชนชาวไทย ก็ควรอ่าน
สิทธิมนุษยชน ,, คำกล่าวอ้างที่ใคร ๆ พร่ำบอกว่าเป็นอิสระในการเลือกของมนุษย์ วิถีปุถุชนชาวไทยขย้ำกล้ำกลืนมากกับคำว่า รัฐศาสตร์การเมือง โทมัส รีด เป็นผู้หนึ่งที่ตั้งความหวังให้รัฐศาสตร์เป็นไปโดยพึ่งพาระบอบประชาธิปไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งให้รัฐบาลออกมาตรการต่าง ๆ โดยยึดความต้องการหรือสิทธิของประชาชนเป็นที่ตั้ง ศาสตราจารย์เมอร์เดียน ประจำมหาวิทยาลัยชิคาโก้ เป็นคนแรกที่นำเอาหลักพฤติกรรมศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับรัฐศาสตร์ เป็นการระบุขอบเขตของรัฐศาสตร์เพื่อให้รัฐศาสตร์เป็นไปในรูปของการพึงพินิจ พิเคราะห์ส่วนประกอบต่าง ๆ เพื่อสนองต่อความต้องการและความจำเป็นของประชาชนโดยเฉพาะ นายริชชี่ นักวิเคราะห์คนนึ่งชาวอเมริกัน กล่าวถึง ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ และระบุให้เราทุกคนเก็นพ้องต้องกันเป็นประจักษ์พยานว่า รัฐศาสตร์ความพึงพิเคราะห์ต่อความจำเป็น และการวางรากฐานของประชาชน โดยดำรงไว้ซึ่ง ประเพณี วัฒนธรรม และศิลธรรม โดยมีเสรีภาพในการตัดสินใจในทางที่ถูกวางไว้เป็นเกณฑ์ในสังคม ,,
สาเหตุที่ดิฉันหยิบยกนักรัฐศาสตร์ทั้ง 3 ท่านมาให้พวกคุณวิเคราะห์ เพื่อที่จะบอกทุกท่านว่า ระบบการเมือง ควรพิจารณาถึงมนุษยธรรมเป็นหลัก แล้วประเทศไทยของเรา มีวัฒนธรรมหนึ่งที่ไม่เหมือนกับชาติอื่น ๆ นั่นคือ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีน้ำใจ ศิลธรรมอันดี ที่คนไทยยึดเป็นแบบอย่างเสมอมา ในการจะกระทำการใด ๆ ก็ตาม อเมริกา ชาติตะวันตกก็มีประเพณีวัฒนธรรมในแบบของเขา ซึ่งรัฐบาลของเขาก็ไม่ได้ไปกระทบต่อจารีตประเพณีของเขาแม้แต่ประการใด ๆ แต่ผิดกับรากฐานของรัฐบาลไทย จารีตประเพณี การเคารพสิทธิของกันและกันตอนนี้มันสูญหายไปแล้ว รัฐ ระบบการทำงานของรัฐคล้อยตามตัวแปรขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "เงิน" สถาบัน หน่วยงานต่าง ๆ มีบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ แพทย์ รวมไปถึงนักข่าว ที่ต้องถือจรรยาบรรณการตีแผ่ความจริงให้ประชาชนได้รับรู้ ยังต้องพึ่งพาอิทธิพลทางการ "เงิน"
ตอนนี้ประเทศไทย เกรงกลัวอำนาจของ "เงิน" ไปเสียแล้ว "เงิน" กลายเป็นปัจจัยใหญ่ และปัจจัยสำคัญของสังคมไปเสียแล้ว หลักความคิดต่าง ๆ ตามพระราชดำรัส ที่ความนำมาปรับใช้ในสังคม ทุกวันนี้กลายเป็นเพียงตัวหนังสือเท่านั้น กลายเป็นพระราชดำรัสที่ถูกบันทึกลงในเอกสารต่าง ๆ แต่ไม่มีประชาชนคนใด นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน สมัยนี้ จะทำอะไร ก็ต้องมี "เงิน" ต้องติดสินบน ไม่ติด เรื่องราวก็เงียบหายไป ก็เข้าใจว่าภาครัฐ ภาคเอกชน ต่างก็ต้องแสวงหาผลกำไรกันทั้งสิ้น แต่อยากให้พวกคุณ คิดพิจารณากันให้ดี ๆ ประเทศไทยเราไม่พัฒนาแบบชาติอื่น ๆ ในโลก เพราะมัวแต่นำแนวคิดของฝรั่งมาใช้ โดยที่ไม่ประยุกต์ให้เข้ากับวิถีดั้งเดิมของคนไทย อำนาจของ "เงิน" เข้าแทรกแซงทุกกลุ่มคนในสังคม ทำให้มีการจัดแจงกลุ่มชนชั้นในสังคมให้ดูชัดเจนขึ้น
ทุกวันนี้คำว่า "สยามเมืองยิ้ม" กำลังจะจางหายไป เพราะคำว่า "เงิน" เข้าแทรกแซงทุกจิตใจของผู้ที่มีอำนาจในมือ "สยามเมืองยิ้ม" กำลังจะหายไป เพราะคนไทยกำลังจะเปลี่ยนผันเป็นวิถีชีวิต แบบต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างหาเงิน ต่างคนต่างเอาตัวรอด ไม่รักกัน สามัคคีกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ใช้รอยยิ้มเพื่อสื่อถึงมิตรภาพ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน สักวัน ลูกหลานเราจะต้องมานั่งเสียตังมั้ย เพื่อซื้อรอยยิ้มสักรอยยิ้ม เพื่อให้กำลังใจตัวเองเพื่อเติบโตเป็นประชาชนที่มีคุณภาพของสังคม ที่ดิฉันออกมาพูดเพื่อกระตุ้นให้พวกคุณทุกคน ช่วยหันมามองปัญหาเล็ก ๆ ที่พวกคุณปล่อยผ่านหูผ่านตามาหลายยุค หลายสมัย และบอกกับตัวพวกคุณเองในทุก ๆ เรื่องว่า "เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา" หากพวกคุณยังมีจิตใจ และจริยธรรมในสมองอยู่บ้าง พวกคุณควรที่จะหันกลับมาใส่ใจกับปัญหาของคนอื่น เพราะบางที หากวันนี้ยังไม่มีใครคิดที่จะเปลี่ยนแปลง สักวัน ปัญหานี้อาจเกิดกับครอบครัวของคุณเอง แล้วคุณอาจเจอการหมางเมินจากสังคม เหมือนที่ครอบครัวนี้เจอบ้างก็ได้ ,,
ลุกขึ้นสนใจปัญหาที่ควรแก้ปัญหาได้แล้ว นับแต่วันนี้ เพื่อให้ไม่มีวันหน้า กับคำกล่าวที่ว่า "สายเกินไป" บรรพบุรุษก็สอนไว้ดีว่า "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" ตัวอย่างที่ดีในสังคม ทุกวันนี้กำลังจะจางหายไป เพราะอิทธิพลทางการเงิน มีส่วนเกี่ยวข้องมากเกินไปในสังคมไทย สิ่งที่ผิดพลาดมาก ๆ แค่มีเงินสักก้อน เรื่องราวก็เงียบหายไปในสังคมได้อย่างง่ายดาย จริงอยู่ ต่อให้หยิบเรื่องนี้มาพัฒนาสังคมก็ไม่ได้ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา
เรื่องราวของดิฉัน ไม่ได้เป็นเรื่องตลก เรื่องราวของดิฉัน เป็นเรื่องราวที่วอนขอให้สังคมเห็นใจเสียที มีกี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่ตัวแทน ที่ขึ้นชื่อว่าตัวอย่างที่ดีของสังคมไทย เป็นตัวอย่างที่ดีต่อเยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน กระทำผิดในหลากหลายรูปคดี แต่เมื่อพูดถึงอำนาจของ "เงิน" ขึ้นมาในทันที ทั้งสื่อ ทั้งตำรวจ ก็ไม่กล้าแตะต้อง แม้กระทั่งผู้ดูแลความยุติธรรมของประชาชน อย่างอาชีพทนาย ยังต้องหลบตาเมื่อพูดถึง อำนาจของ "เงิน" สังคมไทย มันเคยเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุด แต่ตอนนี้ ถ้าใครไม่มีเงิน ก็เหมือนหมดสิทธิเสรีภาพ และอิสระทางการพูด การคิด การดำเนินการ ไปอย่างสิ้นเชิง ปัญหาจากอิทธิพลทางการ "เงิน"
เงินกว้านซื้อทุกอย่างได้ ยกเว้นคำว่า "ใจ" ของปุถุชนชาวไทยทุกคน แต่ตอนนี้ดิฉันชักไม่แน่ใจเท่าไร ว่าเงินจะซื้อใจของพวกคุณไม่ได้ เพราะคำ ๆ นี้ จึงทำให้ทุกอย่างผ่านหูผ่านตา อย่างไม่น่าให้อภัย ดิฉันเป็นนิสิตอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อายุ 24 ปี ดิฉันอยากให้พวกผู้ใหญ่ทุกท่านพิจารณาคำพูดของดิฉันด้วยเถิดค่ะ ดิฉันคิดว่า ดิฉันไม่อยากใช้ชีวิตให้สูญเปล่าหนักแผ่นดิน โดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์อย่างพวกคุณ เรียนจบ ทำงาน หาเงิน มีครอบครัว แล้วก็ตายอย่างเดียวดาย กลับไปเป็นดิน โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนผืนแผ่นดินเกิดสักอย่างเดียว
ดิฉันเป็นผู้หญิง ครั้นจะให้ไปรบอย่างชายชาติทหาร คงขอบาย คนเราคิดได้แค่ทำอะไรเพื่อชาติแต่ไม่มีใครคิดถึงทำอะไรเพื่อสังคม จิตอาสามีตั้งเยอะแยะมากมาย มัวแต่แก้ไขที่ปลายเหตุ แต่ไม่มีใครคิดที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุ มีแต่คนไม่กล้าที่จะเริ่มทำ ถ้าไม่มีคนเริ่มทำ มัวแต่บอกว่าเดี๋ยวก่อน ๆ แล้วเมื่อไรคำว่า "อิทธิพลทางการเงิน" จะเลิกเข้ามามีผลแทรกแซงหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน หรือลามปามไปยังระบบยุติธรรมละคะ
ดิฉันขอไม่พูดอะไรมาก แต่อยากฝากเพจน์นี้ให้ทุก ๆ ท่านได้ติดตามค่ะ เป็นเพจน์ในเฟสบุ๊ก แค่คุณพิมพ์หาใน Facebook ว่า "เรื่องจริงผ่านเฟสบุ๊ก" คุณก็สามารถติดตามเรื่องราวทุกเรื่องราวที่เรานำเสนอได้แล้วค่ะ เรื่องราวทุกเรื่องราวที่เรานำเสนอไม่ได้บอกเหมือนที่สื่อมวลชนบางสื่อได้ บอกไว้ว่า ตีแผ่ความจริงให้สังคม รับรู้ แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถนำมาตี แผ่ได้ เนื่องจากว่าสปอนเซอร์ไม่อนุมัติ เพราะเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่อง ของศิลปินในเครือของสปอนเซอร์ ความจริงที่มิอาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้อันสืบเนื่องมาจาก เป็นเหตุให้ศิลปินของสปอนเซอร์ เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่เรื่องจริงผ่านเฟสบุ๊ก ตีแผ่ได้ทุกเรื่องค่ะ เพราะสปอนเซอร์ของเราคือประชาชน ...
By : Chiiz~*   Date : 21 Jan 2012 00:44
|